Utility | 1412 https://xvlnw.com I'm on my way Wed, 27 Apr 2022 16:30:39 +0000 th hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.5.13 สอนติดตั้ง WireGuard VPN ไว้ใช้งานเอง https://xvlnw.com/topic/891 Wed, 27 Apr 2022 16:28:03 +0000 https://xvlnw.com/?p=891 WireGuard เป็น VPN แบบ Open Source ตัวนึงที่ฟรี และเคลมว่าตัวมันเองเร็วกว่า OpenVPN ซะด้วย จึงมีความน่าสนใจอย่างมาก สำหรับใครที่กำลังมองหา VPN Server ไว้ใช้งานแบบ Private ไม่ได้ไปแชร์กับใคร เพื่อความเป็นส่วนตัวที่สุด และรองรับทั้งคอมพิวเตอร์และแอพบนโทรศัพท์ทั้ง Android/iOS ตัวเลือก WireGuard ก็ตอบโจ…

The post สอนติดตั้ง WireGuard VPN ไว้ใช้งานเอง first appeared on 1412.]]>
WireGuard เป็น VPN แบบ Open Source ตัวนึงที่ฟรี และเคลมว่าตัวมันเองเร็วกว่า OpenVPN ซะด้วย จึงมีความน่าสนใจอย่างมาก สำหรับใครที่กำลังมองหา VPN Server ไว้ใช้งานแบบ Private ไม่ได้ไปแชร์กับใคร เพื่อความเป็นส่วนตัวที่สุด และรองรับทั้งคอมพิวเตอร์และแอพบนโทรศัพท์ทั้ง Android/iOS ตัวเลือก WireGuard ก็ตอบโจทย์นี้อย่างมากเลยครับ เรามาดูวิธีการติดตั้ง WireGuard VPN Server กันเลยครับ

เตรียมความพร้อม

  • เช่า VPS Linux แนะนำเป็น CentOS 7 ขึ้นไป หรือท่านใดสะดวกใช้ Ubuntu ก็ได้เช่นกัน สำหรับในไทย แนะนำ https://cloudhost.in.th/service/cloud-vps-hosting และสำหรับต่างประเทศ แนะนำ https://www.vultr.com (สมัครผ่านลิงก์ ได้รับเครดิตฟรี)
  • โปรแกรม WireGuard VPN Client สำหรับฝั่งผู้ใช้งาน สามารถดูระบบที่รองรับ และโหลดได้ที่ลิงก์ https://www.wireguard.com/install/ รองรับ Windows/Mac OSX/Linux/Android/iOS แบบครบจบๆ ติดตั้ง WireGuard VPN Server ตัวเดียว ใช้ได้หลากหลายอุปกรณ์

ติดตั้ง WireGuard

SSH เข้าไปที่ Server ของเรา และรันคำสั่งด้านล่างนี้

yum install wget -y
wget https://github.com/Nyr/wireguard-install/raw/master/wireguard-install.sh && bash wireguard-install.sh

โปรแกรมติดตั้ง จะถามการตั้งค่า Port ซึ่งค่า Default จะเป็น Port: 51820 เราสามารถใช้การตั้งค่า Default ได้เลย โดยการ Enter

Welcome to this WireGuard road warrior installer!

What port should WireGuard listen to?
Port [51820]:

จากนั้น จะให้เราตั้งค่า Client Name ให้เราตั้งค่าเป็นชื่ออุปกรณ์ก็ได้ เช่น iPhone_Me1 เป็นต้น

Enter a name for the first client:
Name [client]:

หลังจากนั้น ระบบติดตั้งจะถามการตั้งค่า DNS Server ที่โปรแกรม WireGuard จะเรียกใช้งานเพื่อ Reslove DNS แนะนำเป็นของ Quad9 เพราะว่ามาพร้อมกับการ Blacklist เว็บไซต์ไวรัสต่างๆด้วย หรือหากใครที่ไม่ต้องการระบบกรองเว็บไซต์ สามารถเลือกใช้ตัวเลือกที่ 2 และ 3 ได้ครับ หรือหากเลือกเป็นตัวเลือกที่ 1 สามารถใส่หมายเลข IP DNS Server ได้ด้วยตัวเอง โดยการกำหนด DNS Server ที่ตัวเซิฟเวอร์ใช้งานอยู่ที่ /etc/resolv.conf สำหรับ CentOS

Select a DNS server for the client:
   1) Current system resolvers
   2) Google
   3) 1.1.1.1
   4) OpenDNS
   5) Quad9
   6) AdGuard
DNS server [1]:

จากนั้นให้เรา Enter เพื่อเริ่มติดตั้งได้เลย เมื่อติดตั้งเสร็จ ระบบจะทำการสร้าง QR Codeขึ้นมา สำหรับแอพมือถือ เราสามารถใช้แอพ WireGuard ที่ติดตั้งอยู่ ถ่ายรูป QR Code ได้เลย และทำการเพิ่ม VPN Profile เข้าไปในแอพได้ สะดวกมากๆ

ส่วนทางฝั่งคอมพิวเตอร์ เราสามารถ cat ไฟล์ที่ระบบแจ้งว่าได้สร้างขึ้นมา เช่น /root/yourprofilename.conf แล้วคัดลอกไปสร้างเป็นไฟล์ conf ในคอมของเรา จากนั้นใช้โปรแกรม WireGuard เรียกใช้งานไฟล์ เราก็จะสามารถใช้งาน Profile ของเราได้แล้วครับ

บทสรุป WireGuard

WireGuard เป็นระบบ VPN ฟรีที่น่าสนใจอย่างมากครับ ด้วยตัว Software เค้าเคลมว่าเร็วกว่า OpenVPN และเร็วกว่า VPN ตัวอื่นๆ ตามผลเทสด้านล่างนี้

นอกจากนี้ เรายังสามารถสร้าง Profile แยกใช้งานได้หลายเครื่อง โดยการรันไฟล์ wireguard-install.sh เพื่อรันตัวติดตั้งอีกครั้ง ด้วยคำสั่งนี้

chmod +x wireguard-install.sh # Frist only
./wireguard-install.sh # Next for management 

ระบบติดตั้งระขึ้นให้เลือกจัดการ Profile ของเราครับ

WireGuard is already installed.

Select an option:
   1) Add a new client
   2) Remove an existing client
   3) Remove WireGuard
   4) Exit
Option:

นอกจากนี้ เรายังสามารถติดตั้ง WireGuard VPN ไว้หลายๆประเทศ เช่น TH, SG, USA และเลือกใช้งาน Profile ที่เหมาะสมหรือที่ต้องการได้ Software ทั้งหมดฟรีและดีจริงๆ

The post สอนติดตั้ง WireGuard VPN ไว้ใช้งานเอง first appeared on 1412.]]>
การใช้ .htaccess เปิดใช้งาน lscache ใน Litespeed https://xvlnw.com/topic/811 Tue, 09 Mar 2021 12:08:47 +0000 https://xvlnw.com/?p=811 โค๊ดอย่างง่าย สำหรับเปิดใช้งาน lscache ด้วย .htaccess ครับ วิธีตรวจสอบ ใช้ลองใช้งาน Debug header ดู แล้วหาค่า “x-litespeed-cache:” จะโชว์ขึ้นมา แสดงว่าโค๊ดเริ่มทำงานแล้ว จากตัวอย่างด้านบน คือทำการตั้งค่าแคชไว้ที่ 3600 วินาที หรือ 1 ชั่วโมงครับ

The post การใช้ .htaccess เปิดใช้งาน lscache ใน Litespeed first appeared on 1412.]]>
โค๊ดอย่างง่าย สำหรับเปิดใช้งาน lscache ด้วย .htaccess ครับ

<IfModule LiteSpeed>
RewriteEngine On
CacheEngine on esi crawler
CacheEnable public /
RewriteCond %{REQUEST_METHOD} ^HEAD|GET$
RewriteRule .* - [E=Cache-Control:max-age=3600]
</IfModule>

วิธีตรวจสอบ ใช้ลองใช้งาน Debug header ดู แล้วหาค่า “x-litespeed-cache:” จะโชว์ขึ้นมา แสดงว่าโค๊ดเริ่มทำงานแล้ว

จากตัวอย่างด้านบน คือทำการตั้งค่าแคชไว้ที่ 3600 วินาที หรือ 1 ชั่วโมงครับ

The post การใช้ .htaccess เปิดใช้งาน lscache ใน Litespeed first appeared on 1412.]]>
dig Windows ใช้คำสั่ง dig ใน Windows https://xvlnw.com/topic/796 Tue, 12 Jan 2021 11:48:36 +0000 https://xvlnw.com/?p=796 สำหรับ Admin ที่เคยใช้ MacOS/Linux มาก่อน จะคุ้นเคยกับคำสั่ง dig อย่างมาก เพราะมันเอาไว้ Reslove DNS ของโดเมนที่สะดวกและง่าย และเรียกได้ว่าเป็นคำสั่งที่ผมใช้งานยบ่อยมากๆเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้ผมต้องมาใช้งาน Windows ซึ่งมันไม่มีคำสั่ง dig ไว้ให้ใช้งาน แต่ก็มีคำสั่งอื่นๆที่ทดแทนกันได้ …

The post dig Windows ใช้คำสั่ง dig ใน Windows first appeared on 1412.]]>
สำหรับ Admin ที่เคยใช้ MacOS/Linux มาก่อน จะคุ้นเคยกับคำสั่ง dig อย่างมาก เพราะมันเอาไว้ Reslove DNS ของโดเมนที่สะดวกและง่าย และเรียกได้ว่าเป็นคำสั่งที่ผมใช้งานยบ่อยมากๆเลยก็ว่าได้

ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้ผมต้องมาใช้งาน Windows ซึ่งมันไม่มีคำสั่ง dig ไว้ให้ใช้งาน แต่ก็มีคำสั่งอื่นๆที่ทดแทนกันได้ เช่น nslookup, Resolve-DnsName เป็นต้น แต่ก็คือ อยากใช้ dig ใน Windows อยู่ดี จึงได้เป็นที่มาของบทความนี้ครับ

วิธีติดตั้ง dig ใน Windows :

  1. เปิด Windows PowerShell ด้วยสิทธิ์ Administrator
  2. รันคำสั่ง choco install bind-toolsonly
  3. ตอบ A, เป็นการยืนยันการติดตั้ง Library ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
  4. รอจนเสร็จ หากไม่มีอะไรผิดพลาด เราก็จะสามารถใช้งานคำสั่ง dig ใน Windows ได้เหมือนใน MacOS/Linux แล้วครับ
The post dig Windows ใช้คำสั่ง dig ใน Windows first appeared on 1412.]]>
การอัพเดต Pi-Hole เวอร์ชั่นล่าสุด https://xvlnw.com/topic/792 Sat, 26 Dec 2020 15:36:55 +0000 https://xvlnw.com/?p=792 เราสามารถอัพเดตตัวระบบ Pi-Hole ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ผ่านทาง SSH Command Line ได้ครับ ง่ายมากๆ เลยหละ ว่างๆก็เข้ามาเช็คเวอร์ชั่นของเรากันด้วย ว่าเป็นอัพเดตใหม่ล่าสุดหรือยัง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงานของระบบ DNS Server ของเรานั่นเอง

The post การอัพเดต Pi-Hole เวอร์ชั่นล่าสุด first appeared on 1412.]]>
เราสามารถอัพเดตตัวระบบ Pi-Hole ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ผ่านทาง SSH Command Line ได้ครับ

pihole -up

ง่ายมากๆ เลยหละ ว่างๆก็เข้ามาเช็คเวอร์ชั่นของเรากันด้วย ว่าเป็นอัพเดตใหม่ล่าสุดหรือยัง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงานของระบบ DNS Server ของเรานั่นเอง

The post การอัพเดต Pi-Hole เวอร์ชั่นล่าสุด first appeared on 1412.]]>
การซ่อน IP Server ด้วย Cloudflare https://xvlnw.com/topic/710 Fri, 06 Nov 2020 12:09:30 +0000 https://xvlnw.com/?p=710 ก่อนอื่นต้องเข้าใจหลักการของ Cloudflare ก่อน ว่าบริการนี้สามารถซ่อน IP ได้อย่างไร? บริการของ Cloudflare สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ Cloudflare CDN – จะเป็นการให้บริการ CDN ที่จะมาคั่นระหว่าง Client <=> Cloudflare <=> Server ซึ่ง Traffic ทั้งหมดจะต้องวิ่งผ่าน Cloudflare จะไม่ได้วิ่งไ…

The post การซ่อน IP Server ด้วย Cloudflare first appeared on 1412.]]>
ก่อนอื่นต้องเข้าใจหลักการของ Cloudflare ก่อน ว่าบริการนี้สามารถซ่อน IP ได้อย่างไร? บริการของ Cloudflare สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ

  1. Cloudflare CDN – จะเป็นการให้บริการ CDN ที่จะมาคั่นระหว่าง Client <=> Cloudflare <=> Server ซึ่ง Traffic ทั้งหมดจะต้องวิ่งผ่าน Cloudflare จะไม่ได้วิ่งไปที่ Server ตรงๆ เพราะฉะนั้น วิธีการนี้จะสามารถซ่อน IP Address ของ Server ได้
  2. Cloudflare DNS – จะเป็นการใช้บริการเฉพาะ DNS Query เท่านั้น Traffic ทั้งหมดจะวิ่งไปหา Server ตรงๆ

การซ่อน IP address ของ Server จึงสามารถทำได้ตามข้อที่ 1 นั่นเอง หากยังไม่มี Account ก็สามารถลงทะเบียนได้ฟรีๆ โดยลำดับขั้นตอนการตั้งค่าจะประมาณนี้ครับ

  1. ลงทะเบียน Cloudflare ให้เรียบร้อย
  2. เพิ่มโดเมนลงระบบ ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ
  3. ในขั้นตอนการเซต DNS หากเคยใช้บริการ DNS Server หรือว่ามีประวัติการตั้งค่า DNS จากที่เดิมอยู่แล้ว ทางระบบ Cloudflare จะทำการ Query และดึงข้อมูลมาใส่ให้
  4. ตรวจสอบความเรียบร้อยของ DNS Record ที่ทาง Cloudflare ดึงมาใช้
  5. รูปเมฆสีส้ม จะหมายถึง Cloudflare CDN และรูปเมฆสีเทา จะหมายถึง Cloudflare DNS Only
  6. ตั้งค่าในส่วนที่ต้องการ หากต้องการซ่อน IP Address Server ทั้งหมด แนะนำให้ตั้งค่าเป็นเมฆส้มทั้งหมดนะครับ

The post การซ่อน IP Server ด้วย Cloudflare first appeared on 1412.]]>